‘เวลา’ คือสิ่งที่สำคัญมากที่สุด และ เป็นต้นทุนที่แพงมากที่สุดด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะเมื่อทีมขายเอาเวลาไปทำอย่างอื่นที่ไม่ใช่การขาย เพราะเคล็ดลับสำคัญของบริษัทที่ปิดยอดขายได้เยอะ นั้นคือพวกเขามีเวลาไป ‘โฟกัส’ กับการขายนั้นเอง
ส่วนใหญ่เวลาของที่หายไปของทั้งทีมขาย และ หัวหน้า มักจะเป็นผลพวงที่เกิดจากสาเหตุหลักๆหลายอย่าง เช่น งานที่ซ้ำซ้อน งาน Manual จุกจิก ผิดพลาดบ่อย ลืมตาม ลืมทวง หาข้อมูลยาก ไม่รู้ว่าดีลไหนต้องจัดการอะไร ส่งงานต่อลำบาก รวมไปถึงไม่เห็นภาพรวมของยอดขาย และ Insight ที่จะช่วยเพิ่มโอกาสที่จะปิดยอดได้มากขึ้น
ซึ่งปัญหาพวกนี้ทำให้เราไม่ได้ไปโฟกัสที่การขาย และ ดูแลลูกค้าอย่างเต็มที่ ยอดก็ไม่ถึงเป้า แถมลูกค้าเก่าๆก็หลุด ต้นทุนสูงขึ้นจากการพยายามหาลูกค้าใหม่ (Lead) ที่เราต้องมาสร้างความเชื่อใจกันใหม่ตั้งแต่ต้น และ ปิดดีลยากกว่าเดิมอีกด้วย
…แต่ความโชคดีก็คือ ปัญหาพวกนี้แก้ได้ด้วยการมี ‘ระบบ’
ระบบ CRM คืออะไร?
ระบบ CRM (Customer Relationship Management) คือ ซอฟต์แวร์บริหารงานขายและดูแลลูกค้า ที่จะมาช่วยจัดการกระบวนการขายและข้อมูลต่างๆให้เป็นมาตรฐาน รวมถึงให้ทีมงานให้ไปในทิศทางเดียวกัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ, ลดข้อผิดพลาด, ลดเวลา ให้ทีมได้โฟกัสกับการปิดดีล เพิ่มยอด และ ดูแลลูกค้า ได้มากที่สุด
โดยปัจจุบันระบบ CRM จะอยู่ในรูปแบบซอฟต์แวร์ที่เป็นเว็บไซต์ (เว็บแอปพลิชัน) เพื่อความสะดวกในการเข้าถึงได้จากทุกๆอุปกรณ์ทั้งคอม แท็ปเล็ต หรือ มือถือ ที่จะติดตั้งระบบให้กับทีมขายหรือแม้แต่หัวหน้าทีม ผู้บริหารที่สามารถติดตามการขายและดูภาพรวมได้ทุกที่ทุกเวลาเช่นเดียวกัน
![ระบบ CRM คืออะไร
Customer Relationship Management](https://www.theprojectone.co/wp-content/uploads/2025/01/Screenshot-2568-01-13-at-14.06.54-1024x736.jpg)
ประโยชน์ของระบบ CRM ?
เปรียบเทียบกันระหว่างทีมขายที่ไม่มีระบบ CRM กับ มีระบบ CRM มาช่วย เจาะในส่วนที่เป็นจุดสำคัญที่บริษัทส่วนใหญ่เอาระบบ CRM มาช่วยแก้ปัญหา ซึ่งการเปรียบเทียบนี้จะช่วยคุณตอบคำถามได้ว่า ธุรกิจของคุณควรที่จะต้องมีระบบ CRM แล้วหรือยัง
จุดสำคัญ | ไม่มีระบบ CRM | มีระบบ CRM |
---|---|---|
เครื่องมือที่ใช้ทำงาน | สมุดจด / Excel / Post-it / แอป Note ในมือถือ / อื่นๆ | ระบบ CRM (ที่ช่วยทำวางมาตรฐานกระบวนการขายให้ชัดเจนเป็นระบบ) |
เวลาที่ใช้ในการทำงาน | ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับงานซ้ำๆเรื่องจุกจิกๆ ทำจนหมดวัน | ระบบทำงานให้ ไม่ต้องคิดเยอะ มีเวลาไปวางแผน ไปปิดดีล เพิ่มโอกาสปิดการขาย |
ข้อมูลลูกค้า | กระจายไปอยู่กับพนักงานแต่ละคน เสี่ยงหาย ถูกขโมย | ข้อมูลรวมอยู่ในระบบ อยู่ครบดูง่าย จัดการสิทธิ์และความปลอดภัยได้สะดวก |
วิเคราะห์ยอดและดูภาพรวม | ต้องสั่งให้ทีมไปรวบรวมข้อมูล ใช้เวลานาน บางทีตกหล่น | ระบบดึงข้อมูลมาใช้ให้เป็นประโยชน์ ครบถ้วน ดูได้ทุกที่ อัพเดทตลอดเวลา |
จัดการทีม | ไม่รู้ใครทำอะไรอยู่บ้าง ส่งงานต่อยาก ต้องมาถามตลอด | ติดตามการขายทีมจากระบบ ดูโหลดงาน วางแผนง่าย ส่งต่องานสะดวก |
การเชื่อมต่อกับระบบ หรือแผนกอื่นๆ | ต้องเสียเวลาทำมือ ทำเสร็จพิมพ์ไลน์ไปบอก บางทีหายไปเลย | ใช้ระบบอัตโนมัติในการส่งข้อมูลไปให้ระบบ หรือ แผนกอื่นๆได้ทันที |
ความพึงพอใจของลูกค้า | งานตกหล่น ลืม บริการช้า โดนบ่น ไม่ก็เปลี่ยนเจ้าไปใช้คู่แข่ง | ลูกค้าถูกใจ ไม่ต้องรอนาน เพราะมีระบบช่วยจัดการ, แนะนำ, และเตือนทุกๆเหตุการณ์สำคัญ |
ต้นทุนลูกค้า | ถ้าเราพลาดบ่อย ลืมบ่อย บริการแบบไม่รู้ใจ เราจะต้องเสียต้นทุนเยอะมากเพราะต้องหาลูกค้าใหม่ตลอด | เอาเงินที่หายไปคืนมาจากลูกค้าเก่าๆหรือคนที่หายไป และปิดการขายง่ายกว่าเพราะเขารู้จักเราอยู่แล้ว |
ไม่ว่าคุณจะอยู่ในอุตสาหกรรมไหน B2B หรือ B2C เช่นค้าปลีก การผลิต/รับเหมา โรงงาน ประกัน อสังหาริมทรัพย์ การเงิน การแพทย์ ความงาม หรือ การบริการต่างๆ ที่มีการขายเกิดขึ้นก็สามารถนำระบบนี้มาใช้ได้อย่างหลากหลาย เพียงแต่อาจจะต้องหาเครื่องมือที่เหมาะสมกับรูปแบบธุรกิจ และ ตรงตามเงื่อนไขของตัวเองถึงจะเหมาะสมที่สุด
![CRM for sales in every industry](https://www.theprojectone.co/wp-content/uploads/2025/01/pexels-silverkblack-23224995-1-1-1024x576.jpg)
ตัวอย่างฟังก์ชั่นการใช้งานระบบ CRM
หลายๆคนมักจะเข้าใจผิดว่าระบบ CRM คือระบบที่เอาไว้สะสม Point ลูกค้า ซึ่งจริงๆแล้วเรื่อง Point เป็นแค่ส่วนนึงของระบบเท่านั้นเอง เพราะว่าระบบ CRM มีเป้าหมายคือช่วยให้การทำงานขายเป็นระบบ มีประสิทธิภาพและช่วยเพิ่มโอกาสในการปิดยอดให้ได้มากที่สุด ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับรูปแบบธุรกิจของคุณจะมีลักษณะงานเฉพาะตัวแบบไหนที่อยากให้ระบบ CRM มีความสามารถอะไรเพิ่มขึ้นมานั้นเอง
แต่โดยหลักๆระบบ CRM ที่มีเป้าหมายคือการเพิ่มประสิทธิภาพการขายมักจะมีฟังก์ชั่นการใช้งานเหล่านี้ มาช่วยแก้ปัญหาต่างๆที่ทีมขายจะต้องเจอ อย่างเช่น
![](https://www.theprojectone.co/wp-content/uploads/2025/01/deal3-1024x519.jpg)
- ระบบจัดการดีลและกระบวนการขาย : ทำให้ทีมขายทุกคนสามารถโฟกัสงานของตัวเองได้ตามกระบวนการขายหรือ Pipeline ที่วางไว้ รู้ว่าควรทำงานไหนก่อนหลังแบบไม่ต้องคิดเยอะ ติดตามสถานะงานขาย พร้อมเก็บข้อมูลกิจกรรมการขายหรือ Activity ของทุกดีลให้มาวิเคราะห์ และ ส่งงานต่อได้ง่ายๆ
- ระบบจัดการข้อมูลลูกค้า : จัดเก็บข้อมูลลูกค้า และ รายละเอียดองค์กรให้เป็นระบบ เพื่อให้ง่ายต่อการเข้าถึง รวมถึงดูแนวโน้มการซื้อของลูกค้าแต่ละคนได้ ที่สำคัญคือปลอดภัยและเป็นความลับ ป้องกันไม่ให้หายหรือถูกขโมย ที่สำคัญทำให้ลูกค้ารักเรามากขึ้นด้วย
- ระบบอัตโนมัติและแจ้งเตือน : ลดข้อผิดพลาด และ ลดเวลาในการทำงาน จากงานซ้ำซ้อน จำเจ รวมถึงช่วยเบาแรงสมองในการที่ต้องจำเยอะๆ เช่น เตือนตามงาน เตือนต่ออายุ เตือนจ่ายเงิน เตือนนัดหมาย ก็ให้ระบบช่วยจัดการให้ ส่วนเราโฟกัสแค่การขาย และ ดูแลลูกค้าก็พอ
- ระบบจัดการทีมขาย : ดูภาพรวมการทำงานของทีมแต่ละคน ตามงาน ดูยอดขาย Workload และ โอกาสในการปิดงาน พร้อมกับรายละเอียดเพื่อให้บริหารจัดการ วัดผล และขยายทีมได้ราบรื่นที่สุด
- ระบบจัดการข้อมูลผลิตภัณฑ์ : ฐานข้อมูลสินค้า ที่จะสามารถส่งรายละเอียด รวมถึง Upsell ให้กับลูกค้าที่เหมาะสมได้มากขึ้น
- ระบบอินไซต์ : หาโอกาสในการเพิ่มยอด และ วางกลยุทธ์จากข้อมูล Insight ที่เป็นมากกว่าแค่ตัวเลขสถิติทั่วๆไป ในแง่มุมต่างๆเช่น การขาย พฤติกรรมลูกค้า ประสิทธิภาพทีม
- และระบบอื่นๆ : ระบบเสริมอื่นๆที่สามารถเพิ่มเข้ามาเพื่อให้ตอบโจทย์ลักษณะของธุรกิจเฉพาะทางเช่น ระบบสะสมแต้ม, ระบบระบบต่ออายุ (Renew), ระบบต่ออายุลูกค้าเก่า, ระบบรายงาน, ระบบติดตามเคส, ระบบนำเข้าข้อมูล และ และ อื่นๆตามเงื่อนไขความต้องการเฉพาะธุรกิจ
![CRM Dashboard ระบบบริหารงานขาย](https://www.theprojectone.co/wp-content/uploads/2025/01/dashboard-v1--1024x492.jpg)
เคล็ดลับในการเลือกใช้ระบบ CRM
1. ระบบ CRM สำเร็จรูป
ระบบ CRM ในปัจจุบันนั้นมีให้เลือกมากมาย หากว่าคุณเป็นธุรกิจที่ไม่ได้มีกระบวนการเฉพาะทางอะไรมากมาย ก็อาจจะเลือกเป็นการหาระบบ CRM สำเร็จรูปมาใช้ได้ เช่น Salesforce, Hubspot, Zoho CRM เป็นต้น ราคาจะเป็นการคิดค่าใช้จ่ายรายเดือน ไม่รวมค่าติดตั้ง และ การตั้งค่าระบบ
ซึ่งราคาก็จะแตกต่างกันไปในแต่ละเจ้า ซึ่งข้อดีคือทดลองเริ่มต้นใช้ได้โดยใช้เงินไม่เยอะ แต่ก็จะมีข้อเสียชัดๆอยู่บ้างคือ ข้อมูลจะถูกเก็บอยู่ที่ระบบดังกล่าวไม่ได้อยู่ที่คุณ และ อาจจะมีการใช้งานที่ไม่ Fit กับธุรกิจของคุณนั้นเอง
2. ระบบ Custom CRM
แต่หากว่าธุรกิจของคุณเป็นธุรกิจเฉพาะทาง มีกระบวนการที่แตกต่างจากทั่วๆไป ก็สามารถมองการสร้าง CRM Custom เฉพาะธุรกิจของคุณก็ได้ แต่จะต้องงบประมาณลงทุนที่มากหน่อย แต่จ่ายครั้งเดียวจบ ระบบนี้และข้อมูลทุกอย่างเป็นของคุณตลอดไป
ซึ่งถ้าเรื่องเงินเป็นประเด็นที่เข้าใจได้ ข้อดีมากๆของรูปแบบนี้ก็คือ ระบบนี้จะสร้างขึ้นจากปัญหาและเป้าหมายที่ธุรกิจคุณต้องการโดยเฉพาะ ออกแบบและพัฒนาเพื่อแก้ปัญหาเหล่านั้น โดยให้สอดรับกับกระบวนการและเงื่อนไขธุรกิจของคุณ 100% หรือเชื่อมต่อกับระบบอื่นๆขององค์กร เพื่อไว้รองรับการโตของบริษัทคุณในอนาคตได้อย่างเต็มที่
เพราะราคาที่จะต้องจ่ายให้กับปัญหาที่เกิดจากการไม่มีระบบ อาจจะกระทบกับธุรกิจอาจจะมากกว่าราคาของระบบ CRM แบบเทียบกันไม่ติดเลยก็ได้
![CRM คืออะไร Customer Relationship Management](https://www.theprojectone.co/wp-content/uploads/2025/01/pexels-yankrukov-8867263-1-1-1024x682.jpg)
คุณจะเห็นแล้วว่าการมี ‘ระบบ’ มันมีความสำคัญยังไง ก็เปรียบเหมือนว่าเรากำลังสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ เช่น ถนน ไฟฟ้า ระบบต่างๆให้กับอาณาจักรตัวเอง เพื่อรองรับการเติบโตในอนาคตนั้นเอง
ถึงเป้าหมายหลักมันจะคือการเพิ่มยอดขาย แต่จริงๆมันได้มากกว่านั้น หากว่าทีม หรือ แม้แต่คุณเองก็จะได้เวลากลับคืนมาเพื่อใช้ชีวิตกับสิ่งที่สำคัญกับคุณด้วยมันก็คงจะดีไม่ใช่น้อยเลยใช่ไหมครับ
ระบบ CRM ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือสำหรับเก็บข้อมูล แต่เป็นอาวุธลับสำคัญที่ช่วยนักขายสร้างความสำเร็จในทุกขั้นตอน ตั้งแต่มี Lead ไปจนถึงการปิดการขาย และดูแลความแนบแน่นกับลูกค้าได้อย่างมืออาชีพ หากคุณยังไม่มีระบบ CRM ในองค์กร อาจจะถึงเวลาแล้วที่คุณควรเริ่มต้นเพิ่มประสิทธิภาพให้กับทีมขายและสร้างความเติบโตให้กับธุรกิจของคุณในระยะยาว