ทำไมธุรกิจที่สำเร็จ ขาดเทคโนโลยีไม่ได้?
สิ่งที่บริษัทที่ประสบความสำเร็จมักจะมีเหมือนกัน คือตัวช่วยที่มาทุ่นแรงให้เส้นทางการเดิบโตของธุรกิจนั้นราบรื่น และ ปลดล็อคเพดานข้อจำกัดเดิมๆ สิ่งที่ว่านั้นคือ ‘เทคโนโลยี’ ถ้าเราเจาะลึกลงไปในระดับกลยุทธ์ว่าบริษัทที่ประสบความสำเร็จนั้น จะเห็นได้ว่าบริษัทที่ประสบความสำเร็จนั้นจะใช้เทคโนโลยีกับทั้งส่วนหน้าบ้าน ที่เป็นฝั่งที่ลูกค้าจะเข้ามาสัมผัสกับแบรนด์และส่วนหลังบ้าน คือ ส่วนที่ทีมงานทุกคนคอยเป็นฟันเฟืองจัดการ Operation Process อยู่เบื้องหลัง เพื่อให้ธุรกิจทั้งหมดดำเนินไปอย่างราบรื่นที่สุด
และ ‘ความราบรื่น’ นี่แหละ ที่กุญแจสำคัญที่จะทำให้ธุรกิจของเขาสำเร็จได้ จึงเป็นที่มาของเหตุผลเบื้องหลังว่าทำไมบริษัทเหล่านี้ถึงเอาเทคโนโลยีเข้ามาช่วย และ เอามาช่วยเรื่องอะไรกันบ้าง?
![technology สร้างความสุขให้ลูกค้า](https://www.theprojectone.co/wp-content/uploads/2024/09/surface-X1GZqv-F7Tw-unsplash-1024x683.jpg)
เหตุผลที่ 1: เอามาช่วยสร้างความแตกต่างให้ธุรกิจ และ ส่งมอบประสบการณ์ที่เหนือชั้น
ความแตกต่างคือหนึ่งในหัวข้อหลักของตำราพิชัยสงความแห่งธุรกิจ ถ้าของเหมือนๆกันสิ่งเดียวที่จะแข่งขันได้คือราคา รวมถึงประสบการณ์เมื่อลูกค้าเริ่มก้าวเท้าเข้ามาใช้บริการหรือผลิตภัณฑ์ของเรานั้น เราทำให้เขายิ้มตั้งแต่ต้นจนจบเลยหรือเปล่า และการเอาเทคโนโลยีมาช่วยอาจจะเป็นอีกจุดเริ่มต้นของการเกิด Business Model ใหม่ๆที่ยั่งยืนให้กับธุรกิจได้เช่นกัน
ด้วยความสามารถต่างๆของเทคโนโลยีอย่างเช่น
- Web และ Application ช่วยเพิ่มช่องทางให้ลูกค้าเข้าถึงผลิตภัณฑ์หรือบริการของเราได้สะดวกมากขึ้น
- คลาวด์ (Cloud) จะช่วยทำให้เราเข้าถึงและส่งข้อมูลต่างๆไปหากันและกันได้ง่ายๆ แบบ Realtime
- ใช้ความฉลาดของ AI และ Data ในการวิเคราะห์เพื่อแนะนำสิ่งที่เหมาะที่สุดให้ลูกค้า
- CRM ระบบบริหารจัดการลูกค้าที่ทำให้ทีมงานไม่พลาดทุกการดูแล, Follow up และ Upsale
- Chatbot ระบบตอบคำถามอัตโนมัติที่ช่วยตอบคำถามที่สงสัยของลูกค้าได้ทันท่วงที
- IoT เปลี่ยนเครื่องใช้ไฟฟ้าให้มีสมอง และ ควบคุม สั่งการได้จากทุกที่ รวมถึงเก็บข้อมูลได้อัตโนมัติ
- Digital Twin ระบบจำลองภาพวัตถุต่างๆไปจนถึงเครื่องจักร ตึก อาคารแบบเสมือนจริงได้แบบ Realtime
และอีกหลากหลาย Technology ที่เราจะใช้ความสามารถของมันมาเป็นองค์ประกอบเพื่อต่อยอดเป็นไอเดียให้เหมาะสมกับจุดแข็งและรูปแบบงานในอุตสาหกรรมของตัวเองได้จนเกิดเป็น Innovation ใหม่ๆที่สร้างความแตกต่างที่น่าพึงพอใจให้กับลูกค้าได้อย่างแท้จริง
![technology เพิ่มประสิทธิภาพและเพิ่มเวลาในพนักงาน](https://www.theprojectone.co/wp-content/uploads/2024/09/patrick-tomasso-fMntI8HAAB8-unsplash-1024x769.jpg)
เหตุผลที่ 2: ช่วยให้ทุกคนมีเวลามากขึ้น เพื่อไปทำสิ่งที่สำคัญกว่า
หลายๆธุรกิจเจอปัญหาว่าอยากจะโต แต่ก็ขยายไม่ได้เพราะติดเรื่องกระบวนการที่วุ่นวาย ใช้เวลาเยอะแถมกินเวลาชีวิตส่วนตัว มีปัญหาจุกจิก บางทีจะถ่ายความรู้ไปให้แต่ละคนก็ลำบาก ความเชี่ยวชาญเลยกระจุกแค่เฉพาะบางคน หลายๆคนแม้กระทั่งเจ้าของธุรกิจเลยต้องเป็นเดอะแบก แทนที่จะได้เอาไปคิดและทำให้ธุรกิจเติบโต หรือโฟกัสการสร้าง Innovation ใหม่ๆ กลับต้องเอาเวลามาทำงานและแก้ปัญหายิบย่อยพวกนี้
จะเป็นยังไงถ้าเราจะเอาเทคโนโลยีมาช่วยแก้ปัญหาเหล่านี้
- Automation และ RPA ระบบอัตโนมัติที่จะช่วยเอาระบบเข้ามามาทำงานซ้ำๆ น่าเบื่อๆแทนคน เพื่อประหยัดเวลาและลดข้อผิดพลาด
- AI และ Data มาช่วยในการวิเคราะห์ทางเลือก และ ปรับ Flow กระบวนการ เพื่อเกิดประสิทธิภาพที่สูงที่สุด
- ระบบบริหารจัดการ (Management Software) เฉพาะทางต่างๆ เช่น
- ERP ระบบบริหารจัดการองค์กร ทึ่เชื่อมต่อทุกแผนกมาไว้ในระบบเพื่อดูภาพรวมธุรกิจและจัดการได้ในที่เดียว
- CRM ระบบจัดการลูกค้าและการขาย
- POS ระบบจัดการการขายหน้าร้าน
- HMS ระบบบริหารทรัพยากรบุคคล พนักงานในองค์กร
- และอื่นๆเช่นระบบจัดการบัญชี, จัดการคลังสินค้า หรือ จัดการการเรียนรู้และเทรนนิ่ง
ในองค์กรซึ่งระบบเหล่านี้จะช่วยวางกรอบกระบวนการทำงานมีแบบแผน เพื่อสร้างผลลัพธ์ที่มากขึ้นจากต้นทุนคนที่เท่าเดิม ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่าแต่ละธุรกิจจะมีปัญหาเรื่องกระบวนการแบบไหนที่อยากจะปลดล็อค แต่หากเป็น กระบวนการที่เฉพาะทางสำหรับแต่ละอุตสาหกรรม แนะนำให้ลองดูทางเลือกในการออกแบบและพัฒนาซอฟต์แวร์ Custom ขึ้นมาเฉพาะตัว จะตอบโจทย์ธุรกิจมากกว่าการใช้ซอฟต์แวร์สำเร็จรูปทั่วๆไป
![technology ช่วยในการตัดสินใจ](https://www.theprojectone.co/wp-content/uploads/2024/09/campaign-creators-pypeCEaJeZY-unsplash-1024x737.jpg)
เหตุผลที่ 3: ช่วยให้ธุรกิจตัดสินใจได้ถูกต้อง ว่าตัวเลือกไหนคือถูกทาง
ทุกธุรกิจต่างมีข้อมูลมากมาย แต่คำถามคือว่าใครล่ะ ที่จะเค้นประโยชน์จากข้อมูลเหล่านี้ออกมาได้มากที่สุด?แทนที่จะเดา เราใช้หลักฐาน แทนที่จะคาดการณ์จากประสบการณ์เพียงอย่างเดียว เรามีสถิติมาช่วยนำทาง ซึ่งเทคโนโลยีนี้เองจะมาทำให้คุณเปิดตาที่สามให้กับธุรกิจ เพื่อออกแบบกลยุทธ์ให้เดินหน้าอย่างมั่นใจ ว่าเราจะไปไม่ผิดทาง
โดยเทคโนโลยีหลักที่จะมาช่วยในเรื่องนี้ได้นั้นคือ
- CDP Customer Data Platform คือ ระบบรวบรวมข้อมูลลูกค้าที่สามารถระบุตัวตนลูกค้าจากหลายช่องทางให้รวมกันเพื่อดูข้อมูลทั้งหมด รวมถึง Journey ของคนนั้นๆ
- Data Warehouse ระบบศูนย์กลางข้อมูล ที่จะรวบรวมข้อมูลจากแหล่งต่างๆของธุรกิจมาไว้ตรงกลางเพื่อให้พร้อม และ ง่ายในการเอาไปประมวลผลต่อ
- Data Analytics คือการนำข้อมูลต่างๆมาวิเคราะห์ โดยใช้ความสามารถของเทคโนโลยีในการช่วยประมวลผล เพื่อให้เราได้ Insight แนวโน้ม หรือ ความน่าจะเป็นใหม่ๆที่เป็นประโยชน์ต่อการวางกลยุทธ์ของธุรกิจต่อไป โดยปลายทางเราอาจจะได้ออกมาเป็น
- Report สรุปสถิติต่างๆที่ให้ระบบอัตโนมัติจัดการให้ โดยที่ไม่ต้องเปลืองแรงคน
- BI & Dashboard กราฟภาพรวม Insight แบบเข้าใจง่าย ที่จะสามารถบอกข้อมูลเชิงลึกในแง่มุมต่างๆ เพื่อช่วยในการตัดสินใจ และ รู้ว่าจะต้องทำอะไรต่อ เช่น รู้แนวโน้มความต้องการของลูกค้า, รู้จุดที่ควรลงทุนเพิ่ม, สินค้าที่ควรหยุดผลิต, ส่วนไหนของธุรกิจที่ควรปรับปรุง ไปจนถึง KPI ในแกนต่างๆ
- Notification ระบบการแจ้งเตือน เมื่อมีข้อมูลใดข้อมูลหนึ่งที่เรากำลังเฝ้าระวังอยู่ ถึงจุดที่ต้องดำเนินการ เพื่อให้เราได้รู้ตัวที่จะปรับกลยุทธ์ หรือ แก้สถานการณ์ได้อย่างทันท่วงที
- AI & ML เราสามารถใช้ความอัจฉริยะของ AI และ เทคโนโลยี Machine Learning ในการเรียนรู้ และ วิเคราะห์ผลจากการเชื่อมโยงข้อมูลมหาศาลด้วยตัวมันเอง เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่เหนือกว่า Insight ทั่วๆไป ไปจนถึงการทำนายผล และ ตอบคำถามซับซ้อนๆกว่าที่ความสามารถของมนุษย์ทั่วไปจะทำได้
และนี่ก็คือสามเหตุผลหลัก เพื่อตอบคำถามว่าทำไมธุรกิจถึงจำเป็นต้องมีเทคโนโลยีเข้ามาช่วย และตอนนี้เราก็พอจะเห็นภาพว่าเราสามารถใช้แต่ละเทคโนโลยีอันไหนมาต่อยอดกลยุทธ์เราได้บ้าง (ลองอ่านบทความนี้เพื่อ เช็คลิสระดับของการปรับใช้เทคโนโลยีกับธุรกิจ) แต่ที่สำคัญอย่าลืมเริ่มจากการเข้าใจปัญหาตัวเอง และ ลูกค้าก่อนเสมอ เพื่อจะได้แก้ปัญหาได้ถูกจุดและคุ้มค่าที่สุดนะครับ ขอบคุณครับ